ฟังจากปาก! ผู้กำกับการเล่าเรื่อง Far Cry 6 เกี่ยวกับฉากและการสร้างวายร้าย

Far Cry 6 กำลังจะกลับมาอีกครั้งเพื่อจุดไฟแห่งการปฏิวัติ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ให้ผู้เล่นได้ต่อสู้เพื่อปลดแอกบ้านเกิดตัวเองคือเกาะเขตร้อนชื่อ Yara ประชาชนต่างทนทุกข์ภายใต้การปกครองอันโหดเหี้ยมของประธานาธิบดี Antón Castillo ที่นำแสดงโดยนักแสดงผู้เข้าชิงรางวัล Emmy Award คือ Giancarlo Esposito (“Better Call Saul,” “The Boys,” “The Mandalorian”) ผู้พยายามฟูมฟักให้ลูกของเขา Diego (Anthony Gonzalez จาก Coco) สืบทอดเจตนารมณ์เขาให้ได้ เมื่อเราต้องการรู้เกี่ยวกับวายร้ายคนใหม่ของ Far Cry และบทบาทที่คุณจะต้องโค่นเขาลง เราจึงต้องมาพูดคุยกับผู้กำกับการเล่าเรื่องคือ Navid Khavari

เรามาเริ่มพูดถึง Yara กันเลยครับ คุณตัดสินใจเลือกฉากของ Far Cry 6 อย่างไร?

Navid Khavari: ผมคิดว่าสิ่งแรกที่ชัดเจนเลยก็คือแฟนจำนวนมากรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับไปในฉากที่เป็นเขตร้อนอีกครั้ง และเช่นกัน เมื่อคุณเริ่มทำ Far Cry และนี่เป็นภาคที่ 4 ของผมแล้ว คุณต้องมองหาสถานที่ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนในซีรีส์ และท้ายที่สุดเราต้องการเล่าเกี่ยวกับการปฏิวัติ และเมื่อพูดถึงปฏิวัติ คุณก็ต้องนึกถึงสงครามกองโจร แล้วพอพูดถึงสงครามกองโจร ก็ต้องนึกถึงคิวบา แล้วโชคดีมาก ๆ ที่เราได้มีโอกาสบินไปคิวบา ผมใช้เวลาเป็นเดือนกับทีมแล่นเรือไปรอบ ๆ เกาะ แล้วเราก็ได้พบกับกองกำลังกองโจรจริง ๆ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นเลย เพราะในเกาะ Yara ของเรา เราไม่ต้องการแค่เล่าเกี่ยวกับการปฏิวัติแบบกองโจรสมัยใหม่เท่านั้น แต่เรายังต้องการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเกาะที่ถูกแช่แข็งอยู่ในกาลเวลา เหมือนภาพโปสการ์ดมีชีวิตในยุค 60 ที่ผู้เล่นสามารถสัมผัสและท่องไปทั่วได้

แล้วเราก็ทำให้มันเกิดความรู้สึกขัดแย้งด้วยการใส่ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งโดยให้สัญญาว่าจะฟื้นคืนสรวงสวรรค์แห่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้เกาะกลับมามั่งคั่งอีกครั้งเหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน แล้วสิ่งที่ Anton พูดจริง ๆ คือ “ผมจะสร้างสวรรค์ แต่สวรรค์แห่งนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคน” สำหรับตัวเขาแล้ว เขาคิดว่าสรวงสวรรค์มีราคา และเขาจะกดคนที่ขัดขืนลงเป็นทาสเพื่อใช้แรงงานตามที่เขาต้องการ

ดังนั้น ความมีชีวิตชีวาของฉากที่ดูสวยงามราวอุดมคติแบบภาพโปสการ์ด, มีรถวินเทจ, มีทิวทัศน์งดงาม, ภูเขา, สายน้ำ, เมืองหลวง – ช่างขัดแย้งกับการกดขี่อย่างสุดโต่งของ Antón Castillo และความรู้สึกกดดันนั้นเมื่อคุณก้าวเท้าเข้าสู่เมืองหลวง

พอพูดถึงเมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่แฟรนไชส์ Far Cry ใส่สภาพแวดล้อมแบบเมืองใหญ่เข้าไปจริง ๆ พื้นที่อะไรที่ถูกใส่เข้ามา และมันจะช่วยสร้างโอกาสอะไร?

NK: มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเรื่องนี้ ทีมของเราทำงานออกมาได้วิเศษมาก รู้สึกเป็นเกียรติที่เราจะมี Far Cry ภาคที่มีเมืองหลวงเป็นครั้งแรก มันเริ่มจากการสร้างประเทศก่อนใช่ไหม? คุณไม่สามารถมีเกาะหรือประเทศนี้โดยไม่มีเมืองหลวงได้ แล้วผมคิดว่ามันมีรายละเอียดของความรักความใส่ใจหลายอย่างใส่ลงไปในนั้นที่ไม่ใช่แค่สร้างตึกขึ้นมา แต่ประชากรรอบ ๆ ด้วย นี่เป็นขุมอำนาจของ Antón ที่นี่คือที่ที่ผู้สนับสนุนเขาอาศัยอยู่มากที่สุด และในแง่การเล่าเรื่อง คุณจะต้องรู้สึกเหมือนเดินเข้ารังสิงโต ส่วนในแง่เกมเพลย์ การเล่นเกมในแนวดิ่งเป็นสิ่งที่พลิกเกมมาก คุณสามารถปีนหลังคา ใช้ตรอกหลัง เพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ยากที่สุด ผมคิดว่านี่เป็นอะไรที่สดใหม่จริง ๆ แล้วมันเปลี่ยนความรู้สึกเกมไปอย่างสิ้นเชิงเลย

คุณเอ่ยถึงผู้สนับสนุน Antón’s แล้วผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ผมคิดถึง Far Cry 6 แบบแบ่งคนออกเป็นสองพวกคือกองกำลังทหารของ Anton หรือฝ่ายปฏิวัติของตัวเอก คุณจะแสดงแง่มุมอื่นของสังคมชาว Yara อย่างไรในเกม

NK: หากจะเล่าเรื่องราวที่ทันสมัย, มีเนื้อหาซับซ้อน ผู้เล่นของเราเขาไม่ได้มองหาเรื่องราวที่มีโลกแบบขาว-ดำใช่ไหม เมื่อคุณมองบางอย่างที่ซับซ้อนแบบเกาะที่ถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกมา 50 ปี แล้วเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเลือกผู้นำด้วยความคิดที่ว่าจะสร้างสรวงสวรรค์ขึ้นมา เป็นความคิดที่ Antón ล่อลวงผู้คนให้เชื่อว่านี่คือคำตอบเพียงอย่างเดียว ทำให้เชื่อว่าเขาคือคนเดียวที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ แล้วสำหรับเรา มันน่าสนใจสุด ๆ ในแง่มุมของตัวละครที่เราจะได้สำรวจความคิด อย่างที่รู้ มีคนบางคนโหวตให้เขา, เชื่อในตัวเขา แล้วก็ผิดหวังกับสิ่งที่เลือก แล้วก็ยังมีคนที่ยังสนับสนุนเขาอยู่ ทางแยกของประชากชน, โลกทัศน์ และความคิดเห็น คือสิ่งที่จะอยู่ในเนื้อเรื่องเช่นกัน แล้วมันให้ความรู้สึกว่า วิธีที่จะเล่าเรื่องราวที่เติบโต, ซับซ้อน เราก็ต้องไปในแนวทางนั้น แล้วผมก็ตื่นเต้นที่ผู้เล่นจะได้เห็นเหมือนกัน

Antón เปลี่ยนจากคนที่ถูกเลือกตั้งจากประชาชน มาใช้วิธีการกดขี่ผู้คนให้อยู่ในกำมือได้อย่างไร

NK: ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ใจมาก ในแง่มุมของ Antón ในตอนวัยรุ่นเขาต้องได้เห็นพ่อตัวเองที่ดำรงอำนาจอยู่ในขณะนั้น ถูกประหารเมื่อ 50 ปีก่อน และนั่นเป็นการสร้างโลกทัศน์รวมถึงความเชื่อว่าเกาะนี้ถูกขโมยไปจากเขา จากครอบครัวเขา ความคิดของ Antón ที่ทรงพลังและน่าสนใจสำหรับผมก็คือ เราจะเปลี่ยนคนที่มีภาวะผู้นำ, ฉลาด ซึ่งสามารถทำสิ่งดี ๆ ได้มากมาย แล้ววางเขาลงในสถานการณ์ที่ทำให้โลกทัศน์ของเขาบิดเบี้ยว เร่งเวลา 50 ปี ต่อมา พวกเขาก็มีข้ออ้างในการทำเรื่องน่ากลัวทั้งหลายด้วยเหตุผลอันแปลกประหลาด, แผ่ซ่าน และบิดเบี้ยว เมื่อเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำ เขาคิดว่าเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาไม่เพียงเชื่อว่า Castillos คู่ควรจะอยู่ในอำนาจเท่านั้น แต่พวกเขายังเชื่อด้วยว่ามีเพียงพวกเขาที่สามารถสร้าง Yara ให้เป็นสรวงสวรรค์ได้อีกครั้ง ถ้ายึดตามคำพูดของเขา

นอกจากความความรู้สึกที่ต้องการปกครองประชาชนของ Yara แบบพ่อปกครองลูกแล้ว Antón ก็ยังเป็นพ่อจริง ๆ ด้วย ความสัมพันธ์กับลูกชายของเขาคือ Diego ช่วยสร้างตัวละครของ Antón Castillos ได้อย่างไรบ้าง

NK: รู้ไหม เมื่อเราพูดถึง Far Cry คุณกำลังพูดถึงเชื้อสายและประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นมาจากวายร้ายสุดเจ๋ง, มีชีวิตชีวา แล้วนั่นก็เป็นแรงกดดันด้วยเหมือนกัน! หัวเราะ แต่เอาจริง ๆ แล้ว จุดเปลี่ยนของเราเมื่อเรารู้สึกว่ากำลังทำบางสิ่ง คือตอนที่เราคิดถึง Antón ในฐานะจอมเผด็จการ เขาคุมประเทศและคิดว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องเมื่อเอาประชาชนของเขาลงเป็นทาส แต่คุณก็จับตัวละครนั้นมาเข้าคู่กับลูกชายวัยรุ่นของเขาคือ Diego อายุ 13 ปี สำหรับพวกเราแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ Far Cry ไม่เคยมีมาก่อน มันทำให้เกิดการดำเนินเรื่องที่ซับซ้อน

สิ่งที่เรารู้สึกสนุกมากตอนทำตัวอย่างก็คือ มันเป็นเรื่องราวก่อนที่จะเริ่มเกม มันแยกออกมาจากตัวเกม แล้ววางเนื้อเรื่องให้เกม ทำให้จะมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาจะถ่ายทอดคำสอนให้ Diego ว่าสิ่งที่ Diego จะปกครองคนในอนาคตต่อไปเป็นอย่างไร

สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือผมคิดว่า Giancarlo Esposito เป็นกุญแจของเรื่องนี้เลยตอนเราพบและพูดคุยถึงตัวละคนนี้ เขาต้องการไปถึงจุดที่สร้างคนอย่าง Antón ขึ้นมา สิ่งที่ทำให้เผด็จการเป็นคนอย่างที่เขาเป็น แล้วเขาก็เป็นกุญแจของความคิดที่ว่า “เดี๋ยวนะ นี่คือคนเป็นพ่อ นี่คือคนที่รักลูกชายตัวเองจากใจจริง” นี่เป็นการสื่อสารที่เกือบจะเป็นความเข้าใจทั้งหมดของเขาที่มีต่อตัวละครนี้ และทำให้เขารู้สึกผูกพันกับ Antón

แล้วสำหรับด้าน Diego สิ่งที่ผมเห็นก็คือ เขาเป็นวัยรุ่นอายุ 13 ปี ผมจำตอนผมอายุ 13 ได้ ใคร ๆ ก็จำได้ ตอนนั้นคุณไม่รู้หรอกว่าทำอะไรลงไป! ไม่รู้ว่าคุณเชื่ออะไร คุณพยายามค้นหาว่าตัวคุณเป็นใคร ผมเกลียดพ่อแม่ตัวเองหรือผมรักพวกเขากันแน่ คุณเห็นตัวละครอายุ 13 ตัวนี้ และสิ่งที่ Anthony Gonzalez ทำได้วิเศษมากก็คือ เขาสื่อสารความซับซ้อน เขาต้องการสร้างเส้นทางและเป็นตัวของตัวเอง แต่เขารู้สึกมีหน้าที่ผูกมัดที่จะต้องเดินตามรอยเท้าพ่อเข้าสู่วิถีที่มืดมน เพราะเขารักพ่อของเขา

ตัวอย่างนั้นค่อนข้างทรมานจิตใจเล็กน้อยเพราะมันแสดงให้เห็น Diego ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด คุณหาจุดพอดีในการทำแบบนั้นได้อย่างไร

NK: เราได้ทำงานกับบริษัทที่ชื่อ Unit ซึ่งพวกเขามีคอนเสปแรกเริ่ม แล้วเมื่อผมเขียนสคริปต์ให้คอนเสปนั้น ผมก็นึกย้อนไปถึงตอนพ่อสอนผมเรื่องการเติบโต และผมก็พยายามคิดว่า เอาล่ะ หากคุณเป็นเผด็จการที่เชื่อว่าประเทศของคุณกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ วิธีไหนที่จะสื่อสารลูกชายของคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

สิ่งที่น่าตื่นเต้นอีกเหมือนกันก็คือ นี่เป็นสคริปต์แรกที่ผมเขียนให้ Antón เลย แล้วเป็นฉากแรกที่เราถ่ายทำกับ Giancarlo เพราะงั้น สิ่งที่นำเสนอตั้งแต่แรกเลยก็คือมีความไม่สบายใจ ความตึงเครียด วิตกกังวล เมื่อดูเด็กอายุ 13 กำลังเติบโตขึ้นต่อหน้าของคุณ ใช่ไหม

เพราะสิ่งที่ Antón บอกเขาก็คือ “โอเค ลูกฟังเพลงจากวงต่าง ๆ จาก iPod ของลูก” โอ พระเจ้า ฉันแก่ขนาดไหนแล้วเนี่ย! “จะ iPhone หรืออะไรก็ตาม นี่คือวิธีที่พ่อจะดึงลูกออกมา” ผมคิดว่าประโยคสำคัญมากในตัวอย่างก็คือเมื่อ Antón บอก Diego ว่า “พิสูจน์ซิ” ในตอนจบ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการเดินทางของ Diego ในเกมนี้ “นี่ไม่ใช่แค่สิ่งเดียวที่พ่อจะสอน แต่ลูกจะต้องพิสูจน์ว่ามีคุณค่าพอในการปกครองประเทศนี้ตามที่พ่อจะทำ” แล้วจะมีเรื่องแบบนี้อีกมากมายในเกม

เมื่อคุณแคสต์ Giancarlo Esposito คุณสร้างตัวละคร Antón Castillo มาก่อนแล้ว แต่การทำงานร่วมกับ Esposito ส่งอิทธิพลถึงพัฒนาการของ Castillo ให้ไปไกลกว่าเดิมได้อย่างไร

NK: ตอนเราแคสต์ Giancarlo ครั้งแรก เราโชคดีที่ได้บินไปนิวยอร์ก เพื่อไปนั่งคุยกับเขา แล้วเราก็พูดเกี่ยวกับ Antón ประมาณสี่ชั่วโมงรวดเลย เขาเดินเข้ามาด้วยชุดอย่างเนี๊ยบ สวมหมวกสักหลาด, สูท, บูทอิตาเลียนที่สมบูรณ์แบบ แล้วผมก็รู้สึกว่า “อา ตูน่าจะใส่ฮู้ดเข้ามา” แล้วเขาก็จดบันทึกเกี่ยวกับตัวละครยาวเลย เขาดูวัตถุดิบ เขาอ่านสคริปต์ทั้งหมด แล้วก็ถามคำถามว่าทำไม Antón ต้องทำสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาพยายามผลักและท้าทายเราก็คือ “เราจะใส่ความเข้าอกเข้าใจ Antón ได้อย่างไร” มีเหตุผลเบื้องหลังสายตาของ Antón ที่สร้างความชอบธรรมให้กับสิ่งที่เขากำลังทำ และนั่นเป็นสิ่งที่สวยงามเมื่อคุณทำงานร่วมกับใครสักคนอย่าง Giancarlo เพราะมันเป็นการสนทนาไปมา แม้ในตอนเข้าฉากแล้ว เราก็ยังมีปรึกษากันบ่อย ๆ ว่าจะแสดง Antón ออกมาอย่างไรให้ถูกต้อง

คุณต้องโค้ชเขาให้มีแนวคิดแบบวายร้ายของ Far Cry ก่อนไหม

NK: เขามีอยู่แล้ว เขาเข้าใจ Far Cry และความหมายของการมีวายร้ายที่ทรงอำนาจได้ทันทีเลย แม้แต่ตอนที่เราพบกันที่นิวยอร์ก ตอนที่เขาเริ่มอ่านประโยคและออกเสียงเหมือนที่คุณได้ฟังในตัวอย่าง เขามองผมแบบ Antón Castillo มอง แล้วผมก็รู้สึกแบบ “โอพระเจ้า นี่มัน Antón นี่หว่า แล้วผมก็กลัวแบบสุดจิตสุดใจ” จากนั้นเขาก็สละบทบาทมาดูเป็นมิตรสุด ๆ อีกครั้ง Giancarlo ผู้ทรงสเน่ห์ และมันเหมือนได้ดูงานศิลป์ชั้นยอดของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ผมคิดว่ามันเป็นบทบาทที่ต่างไปจากที่ Giancarlo เคยเล่นมาก่อน เขาสร้างตัวละครที่สดใหม่และน่าสนใจ เป็นคนที่ไม่ใช่แค่ปกครองประเทศ แต่ยังเป็นพ่อด้วย

มาสลับไปที่อีกตัวละครที่คุณแนะนำไปแล้วใน Far Cry 6 ดีกว่า ลองเล่าเรื่องของ Chorizo เจ้าหมาคู่หูขี้วีนตัวนี้ให้ฟังหน่อย

NK: รู้ไหม ผมจะบอกคุณเรื่อง Chorizo ตอนที่คอนเสปของ Chorizo ถูกส่งไปทั่วทีม วันต่อมาเราเห็นภาพแปะฝาผนังทุกคนเป็น Chorizo หมดเลย ผมเดินลงไปที่โถงทางเดิน และเรามีคอนเสปที่เป็นชั้นเปิดโล่งของออฟฟิศ ที่นั่นมีแต่ Chorizo, Chorizo, Chorizo, Chorizo, Chorizo พูดจริง ๆ เลยนะ ผมแทบรอไม่ไหวที่จะได้ให้ผู้เล่นได้ลองเล่น Chorizo แล้วล่ะ บอกใบ้เล็กน้อยว่าเจ้าหมาตัวนี้จะฆ่าคนด้วยความเมตตา ผมบอกได้แค่นี้ ผมคิดว่ามันเป็นตัวแทนของ Far Cry เลย คือมันมีทั้งความฮา สนุกสนาน แล้วก็น่ากลัวเล็กน้อย ซึ่งคุณได้เห็นในเกม Far Cry

เราได้แอบเห็นคนที่เราจะได้เล่นใน Far Cry 6 ที่เป็นนักสู้เพื่ออิสรภาพชื่อ Dami Rojas คุณสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาอย่างไร?

NK: เรารู้ว่าถ้าเราจะเล่าเรื่องของการปฏิวัติ ถ้าเราจะเล่าเรื่องของใครสักคนในขบวนการกองกำลังกองโจร คุณจะต้องมีความเชื่อมโยงส่วนตัวกับพวกเขา คุณต้องมีคนที่มีเรื่องราวจริง ๆ ในโลกของเกม เขาต้องมีภูมิหลัง ดังนั้น เราต้องการการแสดงที่เหมาะสม เราต้องการเสียงพูด คุณสามารถเล่นเป็นชาย หรือ หญิงก็ได้ เราจึงเลือก Sean Rey มาเป็นตัวละครฝ่ายชาย และ Nisa Gunduz เป็นตัวละครฝ่ายหญิง ที่จะช่วยเราสร้างตัวละครนี้ซึ่งจะเป็นประตูสู่การปฏิวัติของคุณ

รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ประกาศเปิดตัวเกมนี้ไปทั่วโลก

NK: มันเหนือจริงมากเลย มันโคตรเหนือจริงและผมพยายามที่จะไม่ใส่อารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป มันเป็นเวลากว่าสี่ปีครึ่งตั้งแต่ที่เราเริ่มโปรเจกต์นี้ ผมทำ Far Cry 5 ด้วยในเวลาเดียวกัน แล้วเราก็เริ่มจากกลุ่มคนที่มี 10 คน ในห้องเล็ก ๆ สักแห่งใน Ubisoft Toronto จากวันนั้น การได้เห็นทีมเติบโตจนถึง 900 คน ทั่วโลก มีสมาชิกทั้งในเบอร์ลิน, เซี่ยงไฮ้, มอนทรีอัล และประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากมอนทรีอัลของเกม Far Cry ภาคก่อน ๆ… มันเหลือเชื่อมาก แล้วผมคิดว่าสิ่งที่สวยงามคือการได้เห็นทุกคนทำงานร่วมกัน มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมที่ผมเป็นผู้กำกับการเล่าเรื่อง เพราะผมก็มีวิสัยทัศน์ของเนื้อเรื่องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่วิเศษก็คือ ทีมยอมรับวิสัยทัศน์ของผมแล้วถือเป็นวิสัยทัศน์ของพวกเขาด้วย ผมมีความเชื่ออย่างมากในการสร้างงานศิลปะแบบกระบวนการผลิตซ้ำ แล้วผมก็คิดว่าสิ่งที่ผมตื่นเต้นก็คือการได้รู้ว่าทุกคนมีส่วนร่วมในเกมนี้ ฉะนั้น ผมคิดว่าผมภูมิใจที่สุดที่ได้เปิดตัว Far Cry 6 ผมตื่นเต้นแทนทีมจนไม่รู้จะตื่นเต้นยังไงแล้ว ทีมของผมแทบรอไม่ไหวที่จะให้ผู้คนได้เห็นสิ่งที่กำลังจะตามมา ยังมีของอีกมากมายเลย แล้วมันก็จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

Far Cry 6 มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 สำหรับ PS5, Xbox Series X, PS4, Xbox One, Stadia และ PC (บน Epic Games Store, Uplay และ UPLAY+) หากไม่ต้องการพลาดข่าวสารล่าสุด โปรดบุ๊กมาร์ก Far Cry 6 news hub ของเราเอาไว้

ลงทะเบียน ที่นี่ เพื่อรับข่าวสารล่าสุดของ Far Cry 6 และเกม Ubisoft เกมโปรดของคุณทั้งหมด

เมนู